วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"CHRISTMAS" เทศกาลแห่งความสุข! ;))


       ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลที่สำคัญเทศกาลหนึ่งของชาวคริสต์ เทศกาลสำคัญที่ว่านี้คือ เทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นเทศกาลฉลองการประสูติของพระคริสต์เทศกาลคริสต์มาสจะจัดขึ้นในวันที่ 24 และ 25 ธันวาคมของทุกปี ในบางประเทศคริสต์มาสอาจจะเริ่มก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือน ช่วงเวลานี้เรียกว่า "แอดเวนท์" (มาจากภาษาลาติน แปลว่า "กำลังมา") และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 6 มกราคมซึ่งเป็นวันที่นักปราชญ์สามคนที่มาจากทิศตะวันออกนำของขวัญมามอบแก่พระกุมารเยชู ด้วยเหตุนี้ในคืนวันที่ 6 มกราคม จึงเป็นคืนแห่งการมอบของขวัญในหลาย ๆ แห่งของโลก
         และเมื่อวันคริสต์มาสอันเป็นวัดสุดยอดของเทศกาลมาถึง การเฉลิมฉลองก็จะเริ่มขึ้น ในช่วงเทศกาลนี้บ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้สดใสอบอุ่นด้วยต้นคริสต์มาสที่ประดับประดาเอาไว้อย่าง สวยงาม ที่ใต้ต้นคริสต์มาสจะมีของขวัญวางเรียงไว้มากมาย ประตูบ้านและขอบเตาผิงจะถูกตกแต่งด้วยหรีดกิ่งสนและฮอลลีในเดนมาร์กมีการประดับกิ่งเบริร์ชด้วยผลแอปเปิ้ลสีแดงผลเล็ก ๆ และคนแคระตังจิ๋วที่เรียกว่า "พิสเชอร์" ในนอรเวและสวีเดนมีการทำสัตว์ตัวเล็ก ๆ จากฟางแล้วผูกด้วยริบบิ้นสีแดง
         เมื่อพูดถึงอาหารในวันคริสต์มาสจะมีอาหารพิเศษมากมายทั้งไก่งวงที่แสนอร่อย เนื้ออบก้อนโตซอสแครนเบอร์รรี ขนมพาย พุดดิง เค้กและคุกกี้เป็นร้อย ๆชนิด ที่ฝรั่งเศษมีการทำเค้กพิเศษเป็นรูปขอนไม้รสชาติเข้มข้นที่เรียกว่า บุช เดอ โนแอล (ขอยไม้คริสต์มาส)และหลังจากอาหารค่ำที่แสนวิเศษผ่านไปนาทีอันน่าระทึกใจก็มาถึงนั่นก็คือการแกะของขวัญนั่นเอง คริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่มีเรื่องให้พูดถึงไม่รู้เบื่อ สำหรับใครก็ตามที่กำลังจะฉลองเทศกาลนี้ก็ขอให้มีความสุขมาก ๆ

       ทุกวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี จะมีการฉลองรื่นเริงในหมู่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก กิจกรรมในวันนี้มีแต่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ว่าจะเป็นการกินเลี้ยง แลกของขวัญ แต่งบ้านด้วยต้นคริสต์มาส ร้องเพลงคริสต์มาส ไปจนถึงเอาถุงเท้าไปแขวนรอซันตาคลอสผู้อารีย์นำของขวัญมาใส่ไว้ให้
         วันคริสต์มาสมีความสำคัญคือ เป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ พระเยซูเป็นชาวยิว ประสูติในประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งเดิมตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใกล้เคียงมาเป็นเวลาช้านาน มีนักปราชญืชาวยิวหลายท่านพยากรณ์ว่า วันหนึ่งข้างหน้าจะมีพระบุตรของพระเจ้าเสด็จลงมาปลดแอกชาวยิวให้ได้รับอิสระภาพในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อพระเยซูประสูติที่หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดา มารดาของพระองค์ชื่อมาเรีย (ซึ่งเรารู้จักในนามแม่พระ) บิดาชื่อโยเซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้
         พระเยซูทรงพระปรีชาสามารถมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์สามารถโต้ตอบกับพระชาวยิวในด้านศาสนาได้อย่างฉะฉาน ชีวิตในตอนต้นของพระองค์ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายทรงมีอาชีพเป็นช่างไม้ช่วยบิดา จนพระชนมายุราว 30 พรรษา จึงเสด็จออกประกาศคำสอนและทรงรักษาคนป่วยประเภทต่าง ๆเช่น คนตาบอด ง่อยเปลี้ย ให้กลับเป็นปกติดังเดิม
         ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกเช่นเดียวกับศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ
        เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ
เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles
         ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่
เพลง Silent Night, Holy Night
         ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
   ซันตาคลอสที่เรารู้จักตคุ้นเคยและเห็นภาพดังที่พรรณนามาตั้งแต่ตอนต้น เพิ่งมีกำเนิดขึ้นมาเมื่อไม่เกิน 200 ปีนี้เอง กลุ่มชนที่สร้างเรื่องราวของวันซาคลอส จนกลายเป็นตำนานสำคัญส่วนหนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส คือ ชาวอเมริกันเชื้อสายดัตช์รุ่นบุกเบิกนั่นเอง
         ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับซันตาคลอสเริ่มขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดในหมู่บ้านไมรา ซึ่งสมัยก่อนโน้น ตั้งอยู่ระหว่างเกาะโรดส์กับไซปรัส แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านเดมรี มีบ้านเรือนตั้งเรียงรายบนสันทรายใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
         เด็กชายผู้เกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ มีชื่อว่า "นิโคลัส" ชีวิตของเขาอยู่บนกองเงินกองทองเพราะพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย ไม่ช้าไม่นานพ่อแม่ก็ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินจึงตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว แต่น่าแปลกที่นิโคลัสกลับมีใจโอบอ้อมอารีต่อคนยากคนจน ชอบแจกสมบัติช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจนกลายเป็นขวัญใจของคนทุกเพศทุกวัย
         ครั้งนั้นก้อยังมีครอบครัวของชายชราคนจนครอบครัวหนึ่ง กำลังมีปัญหาด้วยบุตรสาวทั้งสามต้องการแต่งงาน แต่ไม่มีเงินจัดพิธีให้สมเกียรติก่อนคนสุดท้อง ครอบครัวนี้จึงตกอยู่ในความทุกข์อย่างหนัก
         แต่เมื่อนิโคลัสทราบข่าว จึงนำทองคำใส่ถุง 2 ถุง แอบย่องเข่าไปวางไว้ในบ้านของชายยากจนยามดึกสงัด ทำให้ 2 สาวได้จัดพิธีแต่งงานได้อย่างใหญ่โตสมความปรารถนา ต่อมาก็ถึงเวลาของบุตรสาวคนสุดท้องนิโคลัสก็นำถุงทองแอบมาหย่อนลงทางปล่องไฟในยามราตรี เหตุที่ต้องใช้ปล่องไฟเพราะคืนนั้นหน้าต่างปิดสนิท
         จากพฤติกรรมของนิโคลัสเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่เด็ก ๆ ในสมัยต่อมา แอบนำของขวัญวางไว้ที่เตียงนอนของลูก ๆ ในตอนกลางคืน แล้วบอกว่า ซันตาคลอสนำของขวัญมามอบให้กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ยกย่องซันตาคลอสให้ฝังอยู่ในจิตสำนึกของเด็ก ๆ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและนี่ก็คือ ตำนานความเป็นมาของ กำเนิดซันตาคลอส บิดาแห่งวันคริสต์มาส "นั่นเอง
       เมื่อชาวดัตช์บางกลุ่มอพยพมาอยู่ในอเมริกาก็นำเอาความเชื่อถือศรัทธาในนักบุญนิโคลัสติดมาด้วย ยังมีการเฉลิมฉลองวันเซนต์นิโคลัสกันทุก ๆ ปี ในเดือนธันวาคม และในที่สุดก็ได้มีการดัดแปลงผสมผสานเข้ากับความเชื่อถือของชาวอเมริกันเชื้อสายอื่น ๆ ทางแถบตะวันออกของอเมริกาตำนานเซนต์โคลัสก็เลยมาผูกโยงกับการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส "ซินเตอร์คลาส" ของชาวดัตช์ซึ่งต่อมาได้กร่อนกลายเป็น "ซันตาคลอส" ก็มีบทบาทและหน้าที่สำคัญ คือ แจกของขวัญแก่เด็ก ๆ ในตอนเช้าตรู่ของทุกวันคริสต์มาสดังที่รู้ ๆ กันอยู่
         ทั้งนี้ ภาพซันตาคลอส ภาพแรกที่ปรากฏเป็นชายแก่ใจดี เคราขาวพุงพลุ้ย ใส่เฟอร์โค้ทตัวหนาสีแดงขลิบขาว หอบข้าวของพุรุงพะรังเช่นที่เราคุ้นเคยกันนั้น เป็นฝีมือการวาดจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการส่วนตัวของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังชาวอเมริกัน ที่ชื่อว่า "โธมัส แนสท์" ภาพแรกของซันตาคลอสนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในนิตยสาร harper's illustrated weekly ปี พ.ศ.1863
         ต่อมาเรื่องราวของซันตาคลอสก็แพร่กระจายไปสู่คริสต์ศาสนิกชนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จนกระทั่งหลาย ๆ ประเทศสามารถสร้างตำนานที่มีรายละเอียดแบบเอ็กซ์ลูซีฟเกี่ยวกับซันตาคลอสเป็นของตนเอง เช่น ซันตาคลอสประเทศฟินแลนด์ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด ซันตาคลอสมีบ้านและออฟฟิศอยู่ที่เมืองโรวานีมี เป็นเมืองท่องเที่ยวเป็นที่รู้จักกันดี อยู่ในเขตแลปแลนด์ แคว้นหนึ่งของประเทศฟินแลนด์
         แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซันตาคลอสจะอยู่ที่ไหน จะเป็นของชาติใด แก่นแท้ หรือสปิริตของความเป็นซันตาคอลสก็คือ ความรัก ความเมตตา กรุณา และความสดใสร่าเริง ซึ่งเป็นของสากลสำหรับมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและทั่วทุกหนทุกแห่ง


     ที่มา : http://www.tungsong.com/Impotant_day/Christmas/Chris_1.asp


Santa Claus Is Coming To Town.....



Here's wishing you all the joys of the season.

Wish you and your family a Merry Christmas!!!



From Nhong Nott ;))




วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Choreo Cookies at Body Rock 2012---IT'S AMAZING PROFORMANCE!! :))

Choreo Cookies at Body Rock 2012.



Presented by Consensus Entertainment.
Video Coverage by rem-ix.net
Location: The Rock Church San Diego, CA
Date: May 26, 2012

YOUTUBE OfficialBodyRockSD

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

THE BATMOBILE รถคู่ใจของแบทแมนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


วันนี้เรามาดูรถแบทโมบิลพาหนะคู่ใจของอัศวินรัตติกาลตั้งแต่รุ่นปี 1955 จนถึงรุ่น ทัมเบลอร์ ในรุ่นปัจจุบัน ในงาน คอมิก-คอนที่ผ่านมา


The Batmobile Documentary's Video




batmobiles-600x400
แน่นอนว่านอกจาก แบทแมน จะมีอุปกรณ์ไว้ปราบเหล่าร้ายอันไฮเทคแล้ว สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือรถประจำตัวที่เรียกกันว่า แบทโมบิล ที่มีมากมายหลากหลายคันหากมองในฉบับคอมิก ในฉบับการสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ผ่านมาก็มีหลายรุ่นเช่นกัน เพื่อเป็นการรำลึกย้อนความหลังในงานคอมิก-คอน จึงได้รวบรวมเอารถตั้งแต่สมัยปี 1955 จนถึงปัจจุบัน มาให้ชมกันค่ะ
แบทโมบิล รุ่นปี 1955 ที่ตอนนั้น อดัม เวสต์แสดงนำเป็น แบทแมน อยู่ โดยตัวรถได้รับการออกแบบโดย จอร์จ บาริส ตัวรถเองยังไปแสดงในซีรี่ย์ของ แบทแมน ในปี 1966 ด้วย
รถแบทโมบิลในหนัง Batman ปี 1989 ที่ แบทแมน นำแสดงโดย ไมเคิล คีตัน และ ปี 1992 กับ Batman Return ที่มีการปรับแต่งเล็กน้อยตัวรถได้ถูกออกแบบโดย ทิม เบอร์ตัน ผู้กำกับของแบทแมนทั้ง 2 ภาค
รีแวมป์ คือตัวที่ปรากกฏใน แบทแมน ฉบับปี 1995 ออกแบบโดย โจเอล ชูมัคเกอร์ ที่ทำให้ออกมาแฟนตาซี โฉบเฉี่ยวโผล่มาในตอน Batman Forever นำแสดงโดย วาล คิลเมอร์
โจเอล ได้ทำการอัพเกรดรถอีกครั้งให้แฟนตาซีจ๋ากว่าเดิมในหนังเรื่อง Batman and Robin ถือเป็นแบทโมบิล ที่ยาวที่สุดและเร็วที่สุด ภาคนั้นนำแสดงโดย จอร์จ คลูนี่ย์
คริสโตเฟอร์ โนแลน ออกแบบรถทัมเบลอร์ สำหรับ Batman Begins และ The Dark Knight ที่ตัวรถจะเน้นไปในทางสมจริง ชนจริง แข็งแกร่งจริง ตามท้องเรื่องมันเป็นรถต้นแบบทางการทหาร ที่ได้รับการออกแบบโดย ลูเซียส ฟ๊อกซ์ (มอร์แกน ฟรีแมน) นำแสดงโดย คริสเตียน เบล(ขวัญใจของเจ้าของบล็อคเองค่ะ >,.<)
เอาเป็นว่าไปดูรถกันดีกว่า
ชมภาพด้านในงานคอมมิค-คอน
batmobiles
batman-the-movie-batmobile
batman-batmobile-west
batman-batmobile-lincoln-futura
batman-batmobile-lincoln
batman-batmobile-adam-west
batman-batmobile-dashboard
batman-batmobile-hot-wheels
batman-symbol
batman-batmobile-specs
batman-batmobile
batman-batmobile-keaton
batman-returns-batmobile-keaton
batman-returns-batmobile
batman-forever-batmobile-specs
batman-forever-batmobile-val-kilmer
batman-forever-batmobile-kilmer
batman-forever-batmobile-image
batman-forever-batmobile
batman-and-robin-batmobile-specs
batman-and-robin-batmobile-rear
batman-and-robin-batmobile-george-clooney
batman-and-robin-batmobile-dashboard
batman-and-robin-batmobile-cockpit
batman-and-robin-batmobile-clooney
batman-and-robin-batmobile
batman-begins-tumbler-specs
batman-begins-batmobile
dark-knight-batmobile
dark-knight-rises-tumbler
dark-knight-rises-batmobile
dark-knight-rises-camouflage-tumbler
dark-knight-rises-camouflage-batmobile

BATMOBILE FROM BATMAN TELEVISION SERIES (1966) – DRIVEN BY ADAM WEST
Specs:
  • Engine – 429 Ford Full Race engine
  • Weight – 5500 lbs
  • Width: 6 feet x 8 in
  • Height: 4 feet x 11 in
  • Length: 18 feet x 8 in
On-Screen Gadgetry and Weapons:
  • Batphone
  • Batscope
  • Bat-turn lever, which pops the bat-chutes
  • Chain-slicer or Bat-ram
  • Bat-computer
  • Batray reactors and laser beams
  • Bat smoke screen
Originally a 1955 Ford Lincoln Futura concept car that cost $250,000, George Barris bought the car for $1 and had three weeks to transform it into Batman’s ride.
The final paint job consisted of 40 coats of super gloss black.
BATMOBILE FROM BATMAN (1989) AND BATMAN RETURNS (1992) – DRIVEN BY MICHAEL KEATON
Specs:
  • 0 to 60 MPH – 3.7 seconds
  • Width: 7 foot x 7 in
  • Height: 4 feet x 8 in
  • Length: 20 feet
On-Screen Gadgetry and Weapons:
  • Grappling hook for high-speed turns
  • Twin Browning submachine guns that rise from the body of the Batmobile
  • Grenades deployed from the center of the wheels
  • Full body armor that is bulletproof and fireproof
  • Bat-disc launchers capable of taking out enemies on either side of the Batmobile
  • Hydraulic lift for u-turns in tight places
  • Voice Command recognition
  • Oil slick dispensers
  • Smoke dispensers
Production designer Anton Furst was inspired by Salt Flat racing vehicles and Stingray cars of the 1950s for his version of the Batmobile.
The vehicle can jettison the bodywork to form the Bat-Missle, narrowing the vehicle down to just the cockpit and turbine engine for quick escapes.
BATMOBILE FROM BATMAN FOREVER (1995) – DRIVEN BY VAL KILMER
Specs:
  • Engine: Chevy 380
  • Width: 7 feet x 9 in
  • Height: 7 feet x 3 in
  • Length: 25 feet
On-Screen Gadgetry and Weapons:
  • Independent rear suspension
  • Fenders and fins to create a Bat wing or Batman’s cape effect
  • Illuminated hub caps that stayed static while the car was in motion so that Bat symbol would always be seen up-right.
  • Blue LEDs and alternating red and yellow lights for the side ribs to give it a look like it was breathing.
  • The full-scale vehicle was powered by a 25-gallon propane tank. When it was fired at full capacity, it could shoot a 25-foot flame out of the rear exhaust.
Production designer Barbara Ling wanted the Batmobile to look like an organic machine always in motion.  Thus the fin design’s structure  mirrored a real bat’s wing.
BATMOBILE FROM BATMAN & ROBIN (1997) – DRIVEN BY GEORGE CLOONEY
Specs:
  • Width: 7 feet x 6 in
  • Height: 5 feet x 8 in
  • Length: 38 feet x 8 in
On-Screen Gadgetry and Weapons:
  • Onboard Voice-Activated Computer
  • Dual-mount sub carriage rocket launchers
  • Front and rear grappling hooks
  • Multipoint infrared and laser scan tracking units
  • Anterior/posterior wheel-based axle bombs
  • Catapult ejection seat
The only film version of the Batmobile that was a single-seat convertible.
The first design of this Batmobile resembled a bullet and had enormous wings emerging from the rear of the vehicle upon start up and retracting when the vehicle would come to a full stop.
TUMBLERS FROM BATMAN BEGINS (2005), THE DARK KNIGHT (2008) AND THE DARK KNIGHT RISES (2012) – DRIVEN BY CHRISTIAN BALE
Specs:
  • Front tires: Axel-less front end with Hoosier racing tires (also used on the Batpod)
  • Rear tires: Super Swampers
  • Width:  9 foot x 2 in
  • Height:  4 foot x 11 in
  • Length: 15 foot x 2 in
On-Screen Gadgetry and Weapons:
  • Armor plating
  • Attack mode, which transports Batman to the center of the vehicle for better maneuverability
  • Silent Mode allows Batman to switch to electric power and navigate via night vision.  Typically used to evade both enemies and police.
  • Auto cannons
  • Caltrops, which were rope mines released to explode behind the Batmobile and disable pursuing vehicles.
This incarnation of the vehicle is the only one that has ever been named something other than a Batmobile, i.e. the Tumbler.
The creation of the Tumbler first started when production designer Nathan Crowley and director Christopher Nolan bought a bunch of model kits and “kit-bashed” until they came up with a hybrid of a Humvee and Lamborghini.

ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.nangnadoo.com/

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Lando Wikins, JP Goldstein, Ricky Cole, and Pharside | Seattle Freestyles | Worldofdance.com

 
 
Lando Wikins, JP Goldstein, Ricky Cole, and Pharside | Seattle Freestyles | Worldofdance.com
 
 
#BY YOUTUBE.COM

Jabbawockeez - SB(Phil) Solo - We Just Made It

 
SB - We Just Made It [Official Video]
 
We Just Made It- off of SB's solo EP titled "Privileged" - @SB_JBWKZ
Produced by Nick Ngo Bangerz - @NickNgoBangerz

Download Now on iTunes: "Privileged"
http://itunes.apple.com/au/album/privileged-ep/id501150250?ls=1

Director: C. Gat - @CSTYLE_JBWKZ
Producer: Ben Chung - @BTEK _JBWKZ
Director of Photography: Josh Jose
Editor: Jordan Jose

"We Just Made It" featured on upcoming motion picture "Project X"
http://projectxmovie.warnerbros.com/site/index.html

JBWKZRecords.com - @Jabbawockeez

#WeJustMadeIt #SB #Cgat #Privileged #JBWKZRecords #Bangerz

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Spoil & Review – Batman : The Dark Knight #14 , Batman Incorporated #5

มารีวิวหนังสือการ์ตูนสนุกๆกันดีกว่า :))
Batman : The Dark Knight v2 #14
เรื่อง Gregg Hurwitz ภาพ David Finch

เนื้อเรื่อง :
     จากหลายๆเล่มก่อน สแกโครว จับเด็กไป แบทแมน สืบเรื่องไปเจอบ้านลับของมัน แล้วโดนลูกซองยิงโดนจับไปอีกคน แบทแมน โดนจับทดลองยา โดนจับแก้ผ้า บลาๆๆ

     ในเล่มนี้ แบทแมนตื่นขึ้นมาเจอ สแกโครวที่ยืนจังก้าถือเคียวเหมือนกับ ยมทูต อย่างไงอย่างงั้น ทั้งสองสู้กัน แบทแมน โดนฟันไปหลายที แต่ที่โหดสุดก็คือ แบทแมน เอาแกรปเปอร์กัน (ปืนยิงฉมวก) ยิงใส่ปาก สแกโครวจนปากห้อย o_O!


     แบทแมนหนีออกมาได้สำเร็จ โดยไม่ได้คิดช่วยเหลือตัวประกันเลย(ดาฟัก) ส่วนสแกโครว เผลอทำไฟฟ้าลัดวงจรในบ้าน บ้านไฟไหม้ แต่ยังเป็นคนดีช่วยเด็กออกมาได้ก่อนบ้านจะระเบิด

     มนุษย์ค้างคาว ทำท่าร่อแร่เดินเมาๆ บนถนนและจะโดนพวกโจรข้างทางรุมแทง ขอบคุณ เดเมี่ยน ที่มาช่วยไว้ทัน พอกลับมาที่บ้านมีฉากซึ้งๆ เรียกน้ำตาเดเมี่ยนหนึ่งฉาก

     มาที่ สแกโครว ไปจ้างเพนกวิน สร้างยานบอลลูนยักษ์ ไปบินปล่อยแกสพิษในเมือง แบบในหนัง Batman 1989 ของ ทิมเบอร์ตัน



Review :
     ผมไม่ได้ตามอ่านเล่มนี้มาตั้งแต่แรก แต่เพิ่งมาอ่านเอาเมื่อเล่มก่อน รู้สึกว่าไม่ชอบอะไรหลายๆอย่างในเล่มนี้เอาซะเลย แบทแมน ถูกจับอย่างง่ายดาย และโดนทรมาน จับไปลองยา สารพัด ทำให้ผมนึกถึงหนังสั้นที่ชื่อ The Death of Batman ที่ แบทแมน ของเราโดนเด็กมีปัญหาจับไป เพราะโดนช็อตไข่ = =” จากนั้นมันก็เริ่มเล่าปัญหาของมันให้แบทแมนฟัง จับแบทแมน ฉีดยา และ….อัดถั่วดำแบทแมน นานร่วมเดือน (แม่งเอ้ยย T_T)



หนังสั้น The Death of Batman


     คือความรู้สึกขยะแขยงคลื่นไส้ แบบนั้นมันกลับมาก็ตอนอ่านเล่มนี้แหละครับ เล่มนี้เหมือนโชว์ความอ่อนแอปวกเปียกของแบทแมน แบบที่นานๆจะได้เห็นที ข้อดีอย่างเดียวของเล่มนี้คือลายเส้นของ David Finch

เหตุการณ์สำคัญ :
  • Scarecrow โดนยิงปากทะลุ กลายเป็นหุ่นไล่กาปากห้อย

ประเด็นที่น่าสนใจ :
  • Scarecrow ไม่ยอมไปหาหมอรักษาทำให้ปากห้อยๆของแก เพิ่มความน่ากลัวขึ้นไปอีก ไม่รู้จะปล่อยเลยตามเลยแบบการลอกหน้าของ Joker มั้ย


คำพูดโดนใจ :
  • Glad you’re here, Damian


Batman Incorperated v2 #5
เรื่อง Grant Morrison ภาพ Chris Burnham

เนื้อเรื่อง :
     เล่มที่แล้วบรูซไล่เดเมี่ยนออกจากเป็นโรบิ้น เพราะอนาคตที่เขาไปเห็นมาจาก จุดสิ้นสุดของเวลา(Vanishing Point ) ในเล่ม The Return of Bruce Wayne เมื่อเดเมี่ยนขึ้นเป็น แบทแมน ทุกอย่างจะดิ่งลงเหว

     ตัดมาที่โลกอนาคตจากเล่ม Batman #666 ที่เดเมี่ยนเป็นแบทแมน ก็อตแฮมลุกเป็นไฟ ประชาชนเมือง ติดไวรัส โจ๊กเกอร์ กันหมด เดเมี่ยนบุกเข้าไปช่วย เด็กทารก ที่ไม่ติดเชื้อไวรัสนี้ แต่ทั้งคู่โดนซอมบี้โจ๊กเกอร์ ไล่ตาม เดเมี่ยน สามารถพาเด็กมายังป้อมปราการ อาร์คแฮม โรงบาลบ้าที่ตอนนี้กลายเป็นที่อพยพของคนในเมือง


     ขณะเดียวกันที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดี กำลังตัดสินใจว่าจะเอาไงดีกับก็อธแธม จะจัดการขั้นเด็ดขาดเลยมั้ย

     เดเมี่ยน มอบเด็กให้เป็นการเลี้ยงดูของ บาร์บาร่า กอร์ดอน เขาแวะไปหา กอลิร่า แจ็คคานเอพ หนึ่งในลูกน้องของ ไมเคิล เลน (Batman คลั่งศาสนาใน Batman #666) ที่ถูกจับมาขังไว้ใน อาร์คแฮม เอาตัวอย่างเลือดเด็กมาให้ดูว่าสามารถผลิตเป็นยาแก้พิษได้มั้ย แต่ แจ็คคานเอพ บอกว่าเด็กไม่มีภูมิต้านทานหรอก เด็กเป็นพาหะต่างหาก และเดเมี่ยนก็เชื้อโรคเข้ามาใน อาร์คแฮมแล้ว! เดเมี่ยน รีบวิ่งกลับไปหาบาร์บาร่า พร้อมนึกถึงเรื่องในอดีต ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา ตั้งแต่เรื่องพ่อตาย และปล่อยให้ปีศาจเข้าถึงเขาได้ ด้วยการทำสัญญากับ ด็อกเตอร์ ไซม่อน เฮิร์ท


     เมื่อมาถึงพบศพหมอสองคนหน้าเปื้อนยิ้มโดนยิงตาย ในนั้นเจอ บาร์บาร่า จับหักคอเด็กไปเรียบร้อยแล้ว เธอหันปืนมาหาเดเมี่ยนและยิงใส่เขาอย่างจัง



    ที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดี ตัดสินใจส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงก็อธแธม โดยมีคนให้กำลังใจอยู่ข้างๆนั้นก็คือ ด็อกเตอร์ เฮิร์ท นี่เอง

     บาร์บาร่าเปิดประตู อาร์คแฮม ให้พวกติดเชื้อเข้ามา เดเมี่ยน ปล่อยตัวลูกน้อง ไมเคิล เลน ให้ออกมาช่วยต้านพวกติดเชื้อ แต่สายไปแล้ว นิวเคลียร์ถูกปล่อยและระเบิด ก็อธแธม กลายเป็นผุยผง


     ปัจจุบัน บรูซ อธิบายกับเดเมี่ยน ว่าสิ่งที่เขาเห็นเขาไม่แน่ใจรายละเอียดนักว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่รู้ว่ามันจบยังไง แบทแมน โลกอนาคตยอมขายวิญญาณให้กับปีศาจ และปีศาจได้เข้ามาทำลายก็อธแธม เขาพยายามสร้างองค์กรนี้ขึ้นมาก็เหมือนมันจะไม่ช่วยแก้ปัญหา และทางเดียวคือต้องให้ เดเมี่ยน เลิกเป็นโรบิ้น และส่งตัวกลับไปหาทาเลีย แน่นอนว่าเดเมี่ยน ไม่อยากไป และบอกว่าอนาคตเราเลือกเปลี่ยนเองได้

     จากนั้นมีการติดต่อมาจาก ไนท์ ว่าเจอที่ซ่อนตัวของ ลีเวียธาน ในก็อธแธม แถวโรงหนัง โมนาช แต่แบทแมน ถามว่ารู้ได้ไงว่ามันอยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้ส่งใครไปสำรวจ และสั่งให้ทุกคนถอยออกมา แต่ ไนท์ และพรรคพวกโดนกับดักระเบิดไปเต็มๆ


Review :
     พออ่านจบไม่รู้จะพูดอะไรนอกจาก สุดยอดดดด การเล่าเรื่องในเล่มนี้ทำให้ผมคิดถึงช่วง Batman & Robin มากเริ่มเอาเรื่อง ทำสัญญากับปีศาจ ถ้ายังจำกันได้ในเล่ม Batman #666 เดเมี่ยน ได้พลัง healing factor มาด้วยเพราะไปทำสัญญาบางอย่างกับปีศาจ แต่ก็ไม่เฉลยซะทีว่าตอนไหน แถมเล่มนี้ Dr. Hurt กลับมาอีกแสดงว่ากลุ่ม Leviathan นี้คงไม่พ้นเป็นส่วนนึงแผนของ Dr. Hurt อีกแน่ๆ

     ภาพวาดของ Chris Burnham ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยชอบครับมันออกดูเป็นการ์ตูนแก๊กตลกๆ มากกว่า แต่พอมาเล่มนี้ สไตล์ภาพเริ่มเหมือน Frank Quitley นักวาดคู่บุญของ Morrison

     และถ้าใครได้ติดตามเนื้อเรื่อง Batman ของ Morrison มาตลอดผมคิดว่าจะสนุกไปกับเล่มนี้มากครับ

เหตุการณ์สำคัญ :
  • อนาคตที่ Bruce เห็นคือ Gotham โดนทำลายหลังจาก Damian กลายเป็น Batman
  • Dr. Hurt กลับมา
  • Damian ถูกไล่กลับไปหาแม่
  • Knight , Squire , Batwing , The Outsider ถูกกับดักระเบิด ชะตากรรมไม่รู้ รอตอนหน้า

ประเด็นที่น่าสนใจ :
  • Damian ทำสัญญาอะไรกับ Dr. Hurt?
  • สรุปการจัดตั้ง Batman Inc ไม่สามารถแก้ไขอนาคตได้เหรอ?
คำพูดโดนใจ :
  • I want to stay with you.
 
*เผยแพร่ครั้งแรกที่: voeten Journal